บริการออกแบบบ้านรับมือกับแผ่นดินไหว บ้านปลอดภัย ทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน 

ในยุคที่ภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวเกิดขึ้นได้บ่อยและไม่สามารถคาดเดาได้ การออกแบบบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง รองรับแรงสั่นสะเทือนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สิน แต่เพื่อชีวิตของคนในครอบครัวด้วย

จุดเด่นของบริการออกแบบบ้านต้านแผ่นดินไหว

• โครงสร้างเสริมแรง (Reinforced Structure)

ใช้เหล็กเสริมกำลังสูง (High-strength Steel) และคอนกรีตชนิดพิเศษ ช่วยให้โครงสร้างยืดหยุ่น ไม่แตกหักง่ายเมื่อต้องรับแรงสั่น

• การออกแบบระบบฐานรากพิเศษ (Seismic Base Isolation)

พื้นฐานบ้านแยกตัวจากพื้นดินโดยใช้ระบบ "ฐานรากแยกแรงสั่น" (Base Isolator) ลดแรงสะเทือนที่ส่งถึงตัวบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

• การกระจายน้ำหนักอย่างสมดุล (Weight Distribution Design)

ออกแบบให้น้ำหนักกระจายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงจุดศูนย์กลางที่ไม่สมดุล ซึ่งอาจทำให้ตัวบ้านทรุดหรือถล่มได้

• วัสดุก่อสร้างที่ยืดหยุ่นสูง (Flexible Materials)

ใช้วัสดุที่สามารถขยายตัวหรือหดตัวได้เมื่อมีการเคลื่อนไหว เช่น ไม้บางชนิด เหล็กกล้า หรือคอนกรีตผสมพิเศษ

• ออกแบบบ้านแบบ Low Center of Gravity

ออกแบบบ้านให้มีศูนย์ถ่วงต่ำ ช่วยลดโอกาสบ้านพลิกคว่ำหรือล้มเมื่อเกิดแรงสั่นแรง ๆ


เทคโนโลยีใหม่ที่นำมาใช้ในบ้านต้านแผ่นดินไหวปี 2568

• Damper System

ติดตั้งตัวดูดซับแรงสั่น (Damper) บริเวณโครงสร้างเพื่อลดแรงสะเทือนที่ส่งเข้าตัวอาคาร

• Smart Monitoring System

ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงสั่นสะเทือน เพื่อเตือนภัยล่วงหน้าและช่วยให้สามารถประเมินสภาพบ้านหลังแผ่นดินไหวได้ทันที

• วัสดุก่อสร้างน้ำหนักเบาแต่แข็งแรง (Lightweight Seismic Materials)

เช่น ไฟเบอร์ซีเมนต์ คอมโพสิตไฟเบอร์ที่ทั้งเบาและทนแรงบิดแรงดึงได้ดี


ทำไมการออกแบบต้านแผ่นดินไหวจึงสำคัญ

• ช่วยลดความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือน

• ลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและสูญเสียชีวิต

• เพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว

• ตอบโจทย์เมืองใหญ่ที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว เช่น เชียงใหม่ เชียงราย กรุงเทพฯ กาญจนบุรี


หลักการออกแบบบ้านให้ปลอดภัยจากแผ่นดินไหว


การออกแบบบ้านเพื่อรับมือกับแผ่นดินไหว ต้องคำนึงถึงโครงสร้างที่ "ยืดหยุ่น แข็งแรง และกระจายแรงได้ดี" เพื่อให้บ้านสามารถทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนได้โดยไม่ถล่มหรือล้มเหลวอย่างรุนแรง หลักการสำคัญมีดังนี้


1. ฐานรากแข็งแรง (Strong Foundation)

• ฐานรากต้องถูกออกแบบเพื่อกระจายน้ำหนักอาคารอย่างสม่ำเสมอ

• ในบางพื้นที่ควรใช้ ฐานรากแยกแรงสั่น (Seismic Base Isolation) ช่วยลดแรงที่ส่งขึ้นมาถึงตัวบ้าน


2. โครงสร้างอาคารแบบเสริมแรง (Reinforced Structure)

• ใช้เสา คาน และโครงสร้างเสริมด้วยเหล็ก

• โครงสร้างต้องเชื่อมต่อกันแน่นหนา (Joint Reinforcement) เพื่อลดความเสียหายจากแรงดึงและแรงเฉือน


3. น้ำหนักเบาและสมดุล (Lightweight & Balanced Design)

• หลีกเลี่ยงการวางน้ำหนักมากที่ชั้นบน เช่น ถังน้ำ หรือวัสดุหนัก ๆ

• เลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เบาแต่แข็งแรง เพื่อลดแรงกระทำในช่วงแผ่นดินไหว


4. รูปทรงและแปลนบ้านต้องเรียบง่าย (Simple Geometry)

• บ้านที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีความแข็งแรงมากกว่าแบบที่ซับซ้อน

• หลีกเลี่ยงการออกแบบที่มีส่วนยื่นยาวหรือไม่สมดุล


5. ติดตั้งระบบดูดซับแรงสั่น (Dampers and Shock Absorbers)

• ช่วยลดการสั่นสะเทือนที่ส่งผลกับตัวบ้านโดยตรง


ข้อควรรู้ก่อนสร้างบ้านในพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว

ก่อนเริ่มสร้างบ้านในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ควรศึกษาข้อมูลและวางแผนอย่างรอบคอบ


1. ศึกษาข้อมูลพื้นที่และมาตรฐานแผ่นดินไหว

  • ตรวจสอบระดับความเสี่ยงของพื้นที่จากหน่วยงานราชการ เช่น กรมทรัพยากรธรณี
  • เช็กกฎหมายควบคุมอาคารในพื้นที่นั้น ๆ เช่น ต้องใช้วัสดุพิเศษ หรือแบบแปลนพิเศษ


2. เลือกวิศวกรและสถาปนิกที่มีประสบการณ์

  • ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างต้านแผ่นดินไหวโดยเฉพาะ
  • มีการคำนวณโครงสร้างตามมาตรฐานแผ่นดินไหว (Seismic Design Code)


3. วัสดุก่อสร้างต้องได้มาตรฐาน

เลือกวัสดุที่ผ่านการรับรอง เช่น คอนกรีตเสริมเหล็กคุณภาพสูง ไม้เนื้อแข็งที่มีความยืดหยุ่นดี


4. ออกแบบเส้นทางหนีภัยและจุดรวมพล

  • ออกแบบบ้านให้มีทางออกฉุกเฉินอย่างน้อย 2 ทาง
  • เผื่อพื้นที่โล่งสำหรับรวมพลในกรณีเกิดเหตุ


5. วางระบบไฟฟ้าและประปาให้ปลอดภัย

  • ติดตั้งระบบตัดไฟอัตโนมัติเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือน
  • วางท่อน้ำและท่อแก๊สแบบยืดหยุ่น (Flexible Piping) ป้องกันการแตกหัก